อย่างที่เล่ามาแต่ต้นแล้วว่า สวนนี้ได้มาโดยความบังเอิญ
เรื่องย่อคือ เจ้าของมีความจำเป็นต้องขาย ด่วนด้วย จึงเล่าให้พี่เขยฟัง เราก็รับซื้อ
ซื้อแล้วไม่ได้ทำเอง แต่ให้พี่เขยซึ่งมีสวนอยู่ใกล้กันทำแทน และตามสูตร แบ่งกัน 40-60% เราได้ 60%
สวนนี้ซื้อปุ๊บกรีดต่อ (เพราะเขากรีดมาแล้วสองปีล่ะ) แต่ก็เข้าน่าฝนพอดี ก็ได้เงินไม่เต็มที่เพราะต้องหยุดให้วันที่ฝนตก
ภาพที่ 1 เป็นภาพมุมที่ติดกับเจ้าของเดิม พื้นที่ของเราจะเลยเข้าของเขา คือจะได้ต้นยางพาราเพิ่มเข้ามาอีกแถวหนึ่ง ไม่รู้ว่ากี่ต้น สองต้นที่เห็นนั้น เขาไม่ให้ เพราะโตเต็มที่แล้ว
ภาพที่ 2 ภาพมุมเดียกันเพียงแต่ถ่ายในแนวตั้ง ด้านที่เบลอ คือทิศตะวันออก
ภาพที่ 3 ลักษณะสวนจะเป็นแค่หัวมุม เนินเล็กๆ
ภาพที่ 4 นี่ก็เป็นต้นยางพาราของเรา มุมที่คนกลุ่มนี้ดูกัน พี่เขยกำลังสาธยายว่าจะตัดต้นไม้ที่มีอยู่ออก แล้วจะปลูกต้นยางพาราขึ้นมาทดแทน ไม่รู้ว่าจะโตหรือเปล่า วันนั้นเราไปกัน สี่คน ในภาพ มีพี่สาว พี่เขย เพื่อน(รุ่นน้อง) ๒ (สามีภรรยา) และ ลูกชายคนเดียวของเขา
ภาพที่ 5 เป็นภาพแนวเขต ซ้ายมือเป็นทิศตะวันตกเฉียงนิดหน่อย ที่เห็นต้นไม้อยู่ คือเขตป่าชุมชน ที่ชุมชนใช้ร่วมกัน ด้านไกลเป็นทิศเหนือ พื้นที่ของเราก็เลยจากคลองสายตาไปอีกนิดหน่อย ที่ไม่เห็นเพราะตรงนั้นเป็นนินต่ำ หักลงไป ที่เห็นไกลๆ แต่ติดต่อกันเป็นผืนนั้นเป็นสวนยางพาราทั้งนั้น
ภาพที่ 6 เป็นภาพสวนแบบรวมๆ เป็นเนิน ไม่สวย แต่คิดว่าจะได้กำไรอยู่ (แบบไม่ลำบากกายด้วย) หวังว่าอย่างนั้นนะ
ภาพที่ 7 ภาพนี้ ด้านขวามือคือทิศใต้ เป็นเขตป่าชุมชน
ภาพที่ 8 นี่คือผลผลิตชุดแรก หลังจากซื้อมาเป็นของตัวเอง ทราบว่ากรีดมาได้สองวัน(มั้ง) เราเป็นเจ้าของสวนที่ตามใจคนทำ เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง
ที่เห็นทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นของเราจริงๆ หรอก แต่เป็นของหลวง ตามของตกลงที่ทางกรมอุทยานฯ ได้อนุโลมให้กับชาวบ้านที่บุกรุกป่า ได้มีการลงลายมือชื่อ (ลายเซ็น) กันในสัญญากับชาวบ้านว่า ให้ปลูกได้แล้วห้ามตัดหรือรุกป่าเพิ่ม และต้นยางที่ปลูกอยู่ ก็ห้ามตัดหากหมดน้ำยางแล้ว นั่นคือจะกลับไปเป็นของหลวงไปโดยปริยาย
ถามว่าเราเสียเปรียบไหม ส่วนตัวมองว่า ไม่ได้เสียเปรียบ เพราะเท่าที่ทำคนที่ได้รับประโยชน์อย่างน้อย 3 ส่วนคือ
1 เรา จะได้รับจากผลกำไร
2 พี่เขย คนที่ทำก็ได้รับส่วนแบ่ง
3 คนขาย ก็ได้เงินไปทำธุรกรรมตามความประสงค์
อาจจะมีคนที่ 4 คือคนที่เรารัก เขาเองก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วยอย่างแน่นอน
เมื่อมันจะตกเป็นของหลวงก็ไม่มีปัญหา ถึงตอนนั้นก็ได้รับประโยชน์เพียงพอแล้ว จะว่าไปแล้วจนท.ของรัฐก็เมตตาที่ใช้หลักรัฐศาสตร์มาจัดการมากกว่าจะเป็นนิติศาสตร์ ถือว่า win-win ทั้งสองฝ่าย
หมายเหตุ
ตอนนี้อยากขายแล้วจะเอาเงินไปซื้อสวนใหม่รวมเป็นสวนใหญ่ที่เดียวไปเลยการดูแลและการจัดการจะง่ายกว่า เข้าไปอ่าน คลิกที่นี่
กลับไปที่เดิม |
๓ ภาพนี้ เพิ่มเติมเมื่อ ๑๒ มิ.ย. ๔๔ | |
มีคนมาดูบ่อยแล้ว แต่พวกนายหน้าทำทุเรศ โดยการบวกราคา เช่น เราขาย สองแสนห้า เขาประกาศขาย สามแสน
ตอบลบตอนนี้จะเอาสองแสน ก็ไปประกาศขายสองแสนห้า
คนซื้อ ก็ไม่ยอมมาถามเอง แต่ดันถามผ่านนายหน้า แปลกใจมากมาย
วันนี้ ๙ เมษายน ๒๕๕๕
ตอบลบตอนเช้านี้ ได้รับข่าวดีจากพี่เขยว่า มีผู้สนใจมาดูสวนแล้ว และตกลงจะซื้อขายกัน เดี๋ยวรอนัดวันจ่ายเงินกันก่อน
หากได้ขายแล้วก็คงสบายใจเยอะครับ เพราะต้องการเงินจำนวนนี้ไปซื้อที่สำหรับสร้างบ้านอยู่เหมือนกัน แล้วจะมาแจ้งความก้าวหน้าครับ
ขออัพเดทข่าวหน่อย ภายหลังจากที่มีคนมาถามซื้อ ก็เลยส่งเอกสารไปให้พี่เขยจัดการให้
ตอบลบแต่...ปรากฎว่า พอถามอีกที พี่บอกว่า เขาจะซื้อ แต่ว่า ยังไม่ได้วางมัดจำ เพราะเขาจะรอเอาเงินที่เขาขายนา ของเขาให้ได้ก่อนแล้วถึงจะซื้อ
ก็เลยคิดว่า มาถึงตอนนี้ หากคนอื่นซื้อก็ขายครับ สอบถามได้เลย
(ที่เขามาถามซื้อ ผ่านนายหน้า ราคาอยู่ที่ 230,000 บาท แพงกว่าในเนตที่ผมขายอยู่ 30,000 บาท)
ข่าวดีของผู้จะซื้อต่อจากผมครับ
ตอบลบเนื่องจากผมต้องไปดูแลสวนยางแปลงใหม่ แปลงเล็กนี้ผมก็ได้ดูแลและบำรุงมาอย่างดี พร้อมทั้งได้ปลูกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแถว (ยางผมไม่นิยมใช้วิธีพ่นยาฆ่าหญ้าเสียด้วย)
ตอนนี้ตัดใจขายต่อ ราคา ๑๖๐,๐๐๐ บาท
คือ ผมจะเอา ๑๕๐,๐๐๐ บาท
จะให้คนดูแล ๑๐,๐๐๐ บาท
ไม่ลด ไม่เพิ่ม